Sunday, February 20, 2011

กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50

ลงกระถ่างได้ 20 วันจากงานเกษตรแฟร์ 54 จะถ่ายรูปอัพเดท พัฒนาการของกล้วยนี้ให้ ดูนะครับ












ลักษณะเด่นคือ เครือใหญ่ร้ำหนักมากกว่า 30 กิโลกรัม ( ไม่รวมก้านเครือ ) จำนวนหวีมากกว่า
10 หวี จำนวนต่อหวีประมาณ 18 ผล จำนวนผลต่อหวี 18 ผล ผลกล้วยใหญ่อ้วนน้ำหนักผลโดยเฉลี่ยประมาณ 140 กรัม/ผล

เทคโนโลยีการเกษตร

องอาจ ตัณฑวณิช ชมรมการจัดการทรัพยากรเกษตร www.ongart04@yahoo.com

กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50

เมื่อ ปีที่ผ่านมาในวงการกล้วยน้ำว้าฮือฮาถึงกล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง พ่อค้าหน่อกล้วยตามงานเกษตรต่างๆ เอากล้วยน้ำว้าเครือขนาดใหญ่มาโชว์ให้ลูกค้าชมแล้วก็ขายหน่อ พร้อมขยายสรรพคุณซะเลอเลิศว่า ขนาดของเครือมีขนาดใหญ่ จำนวนหวีก็มากแต่ละหวีก็มีผลกล้วยมาก จึงทำให้มีคนซื้อกล้วยน้ำว้ามะลิอ่องไปมากมาย เพราะเห็นขนาดใหญ่ของเครือและหวี ราคาค่อนข้างแพงถึงต้นละ 80-120 บาท ผมก็หลงซื้อมา เพราะหลงนิยายพ่อค้ากล้วยกับเขาด้วยเช่นกัน จนกระทั่งได้ไปเจอผู้เชี่ยวชาญด้านกล้วย จึงรู้ว่ากล้วยน้ำว้ามะลิอ่องคือ อะไร เรื่องกล้วยๆ ไม่น่าต้มกันได้

อาจารย์กัลยาณี สุวิทวัส นักวิชาการเกษตร 8 ชำนาญการ ของสถานีวิจัยปากช่อง สถาบันอินทรีจันทรสถิตย์เพื่อการค้นคว้าและพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องกล้วยน้ำว้า เพราะอาจารย์เป็นผู้รวบรวมพันธุ์กล้วย โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าทุกสายพันธุ์ในประเทศไทย มาปลูกในสถานีวิจัยปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อการศึกษาและคัดสายพันธุ์ทำให้ทราบถึงความเป็นมาเป็นไปของกล้วยน้ำว้า ที่ปลูกกันอยู่ในบ้านเรา อาจารย์กัลยาณี บอกกับเราว่า "กล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง เป็นชื่อทางเหนือ แปลว่า ขาว เพราะไส้กล้วยมะลิอ่องจะขาว แต่ทางเมืองนนท์จะเรียกกล้วยชนิดนี้ว่า กล้วยน้ำว้าสวน ซึ่งจะมีลักษณะลูกเล็กสั้นๆ ป้อมๆ ในแต่ละหวีมีไม่กี่ผล เครือมีขนาดเล็ก คนซื้อเลยกลายเป็นเหยื่อของคนขายพันธุ์ไม้ คนที่ยังไม่รู้ก็คิดว่ากล้วยมะลิอ่องเป็นกล้วยเครือใหญ่ เคยเห็นตามงานพ่อค้าก็เอากล้วยน้ำว้าเครือใหญ่มาแขวน แล้วบอกว่า กล้วยมะลิอ่อง ทำให้คนเข้าใจว่ากล้วยมะลิอ่องเป็นกล้วยเครือใหญ่ก็ซื้อหาเอาไปปลูกกัน ก็ไม่ได้ไปแย้งเขา" พอรู้เรื่องนี้ก็นึกภาพออกได้ว่า กล้วยมะลิอ่องนี้ก็เป็นกล้วยน้ำว้า ซึ่งเมื่อ 20 ปีก่อนมีขายในกรุงเทพฯ ขนาดลูกเล็กๆ ป้อมๆ อย่างที่อาจารย์ว่าจริง ชาวสวนแถบเมืองนนท์นำมาขาย เมื่อเทียบกับกล้วยน้ำว้าอื่นที่มีขนาดใหญ่ดูน่ากินกว่า ทำให้กล้วยน้ำว้าสวนดูเหมือนกับกล้วยเกร็นขนาดเล็กไม่น่าซื้อ กล้วยสวนของเมืองนนท์ก็เลยหายไป เพราะหวีดูไม่สวย แต่สาเหตุที่สำคัญน่าจะเป็นเพราะราคาที่ดินที่สูงขึ้น ทำให้เรือกสวนเมืองนนท์หายไป แต่ถ้าถามถึงความอร่อย กล้วยสวนจะมีรสชาติอร่อยกว่ากล้วยหวีใหญ่



ปรับปรุงพันธุ์กล้วยน้ำว้า

เพื่อการค้า

ด้วย การที่อาจารย์กัลยาณีเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านกล้วยน้ำว้า จึงมีผู้ประกอบการรายหนึ่งเขามาปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับกล้วยน้ำว้าว่า เขาทำกล้วยแผ่นอบส่งออกไปประเทศทางยุโรป ตอนแรกทำไม่มากนัก ส่งออกก็ไม่มีปัญหา แต่พอตอนหลังเพิ่มจำนวนส่งออกมากขึ้น มีปัญหาว่าทางยุโรปตีกลับเพราะหาว่าเอากล้วยแผ่นอบเก่าส่งไปให้ แต่ผู้ประกอบการรายนี้ยืนยันนอนยันว่าเป็นกล้วยใหม่ทำส่งไปให้ เพราะเขาเป็นผู้ทำและเป็นผู้ควบคุมการผลิตเองทั้งหมด อาจารย์กัลยาณีถามคำแรกเลยว่า คุณรู้จักกล้วยน้ำว้าแค่ไหน ผู้ประกอบการรายนี้บอกว่า ใครส่งกล้วยน้ำว้ามาผมก็ซื้อหมด ขอให้เป็นกล้วยน้ำว้า "ไม่ได้ค่ะ" อาจารย์กัลยาณีบอกกับเขา แล้วชี้แจงให้ฟังว่า "กล้วยน้ำว้าในประเทศไทยที่ได้ศึกษามี 3 กลุ่ม คือ กลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้แดง กลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้ขาว กลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้เหลือง สำหรับกลุ่มแรกคือ กลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้แดงมีผลดก ไส้กลางข้างในค่อนข้างแข็งหรือมีความฝาดสูง เหมาะสำหรับเอาไปทำกล้วยเชื่อมหรือข้าวต้มมัด เพราะไส้จะค่อนข้างแข็งไม่เละ ถ้าเอาผลสุกไปทำกล้วยบวชชีจะมีรสฝาดเจือ ไม่ค่อยอร่อย และถ้าเอาไปทำกล้วยตากจะมีสีคล้ำเหมือนกล้วยเก่า อย่างที่ผู้ประกอบการรายนี้เจอปัญหา เพราะเอากล้วยน้ำว้าไส้แดงไปทำ ผู้ซื้อจึงตีกลับมาทั้งๆ ที่ทำใหม่ เพราะเอากล้วยน้ำว้าคละไส้ไปทำ ทั้งๆ ที่ทำเทคนิคเดียวกัน ล็อตเดียวกัน แต่สีมันต่างกัน ซึ่งเกิดจากกล้วยที่มีไส้ต่างกัน แต่กล้วยน้ำว้าไส้แดงนำไปทำกล้วยอบน้ำผึ้งได้"

กลุ่มที่สองคือ กล้วยน้ำว้าไส้ขาวและกล้วยน้ำว้าไส้เหลือง อาจารย์กัลยาณีแนะนำให้ใช้ 2 พันธุ์นี้ สำหรับนำไปทำกล้วยแผ่นอบ โดยแนะนำว่า "กล้วยน้ำว้ามะลิอ่องเป็นกล้วยน้ำว้าไส้ขาว เมื่อนำไปทำเป็นกล้วยแผ่นอบสีจะเหลืองสวย ไม่เหลืองมากเหมือนกลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้เหลือง ซึ่งกล้วยน้ำว้าไส้ขาวนี้เหมาะสำหรับทำกล้วยตาก กล้วยแผ่นอบ ส่วนกล้วยน้ำว้าไส้เหลืองจะเหมาะสำหรับกินสด กล้วยเชื่อม กล้วยบวชชี กล้วยทอด แป้งกล้วย หรือทำได้ทุกอย่างไม่มีข้อจำกัด ในการแปรรูปกล้วยเพื่อเป็นการค้า กล้วยน้ำว้าไส้เหลืองเหมาะที่สุดเนื่องจากมีผลผลิตมาก ดูแลดีๆ จะได้ถึง 10-15 หวี ต่อเครือ ซึ่งกลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้ขาว คือ มะลิอ่องทำไม่ได้ บำรุงให้ดียังไงผลผลิตก็เทียบกันไม่ได้ เพราะเป็นไปตามลักษณะสายพันธุ์"



กล้วยน้ำว้าไส้เหลือง

ใช้งานได้ครอบจักรวาล

สถานี วิจัยปากช่อง ได้ปรับปรุงพันธุ์กล้วยน้ำว้า ปากช่อง 50 ซึ่งเป็นกล้วยน้ำว้าไส้เหลืองขึ้นมา เนื่องจากกล้วยน้ำว้ากลุ่มไส้เหลืองสามารถนำมากินสดก็ได้ แปรรูปได้ทุกอย่าง และยังมีผลผลิตที่ดกเหมาะสำหรับการปลูกเพื่อการค้าอีกด้วย กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 เกิดจากการนำสายพันธุ์กล้วยน้ำว้าทั่วประเทศมาปลูกทดลอง แล้วคัดพันธุ์ขึ้นมา เนื่องจากการผสมพันธุ์กล้วยยากมาก นักวิชาการจะไม่ใช้วิธีการผสมพันธุ์กล้วย เมื่อคัดต้นกล้วยน้ำว้าที่มีคุณสมบัติดีที่สุดแล้วก็นำมาขยายพันธุ์ด้วยการ เพาะเนื้อเยื่อ นำมาปลูกทดลองในสถานีวิจัยปากช่อง โดยการปลูกเปรียบเทียบกับสายพันธุ์อื่นอย่างละ 20 ต้น และมีการนำผลผลิตมาเปรียบเทียบกันในแต่ละฤดูกาลอีกด้วย อาจารย์กัลยาณีกล่าวว่า "ในช่วงฤดูร้อน เมื่อเทียบกับ 5-6 สายพันธุ์ กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 ยังเด่นกว่า ฤดูฝนไม่ต้องกล่าวถึง เพราะปากช่อง 50 ดกกว่า ในฤดูหนาวโดยรวมผลผลิตไม่ค่อยดีก็ยังดีกว่าตัวอื่น การเปรียบเทียบสายพันธุ์นี้ไม่ใช่ทำแค่ 1-2 ปี แต่ได้ปลูกเปรียบเทียบมาเกือบ 10 ปีแล้ว ทำมาครั้งละ 1-2 ไร่ ผลผลิตก็ยังสม่ำเสมอเหมือนเดิม ในการปลูกเพื่อเปรียบเทียบผลผลิตไม่ใช่เปรียบเทียบแค่ระหว่างต้นต่อต้น แต่ต้องเปรียบเทียบอย่างน้อย 10-20 ต้น และเปรียบเทียบในทุกช่วงฤดูกาล" อาจารย์กัลยาณี เล่าว่า เคยมีเกษตรกรบางคนบอกว่ากล้วยน้ำว้าของเขามีผลผลิตมากกว่ากล้วยน้ำว้า ปากช่อง 50 คือได้เครือละ 15 หวี แต่พอซักเข้าจริงๆ มีแค่ครั้งเดียวและก็ต้นเดียว ซึ่งเป็นเพราะสภาพต้นที่สมบูรณ์มาก ไม่ได้มีจำนวนมากถึงเป็นหลายสิบต้นที่มีความสมบูรณ์เหมือนๆ กัน



เปรียบเทียบระหว่าง

หน่อกล้วยกับกล้วยปั่นตา

การ คัดพันธุ์เพื่อหากล้วยน้ำว้าที่มีผลผลิตดีที่สุดของสถานีวิจัยปากช่อง ใช้เวลาเกือบ 10 ปี ก็เหนื่อยพอแล้ว แต่ยังต้องเหนื่อยต่อไปอีก เพราะเรื่องยังไม่จบ ในการปลูกกล้วยเกษตรกรมักเคยชินกับการปลูกกล้วยด้วยหน่อ เนื่องจากเห็นว่าขนาดของหน่อใหญ่กว่ากล้วยที่ได้จากการปั่นตามาก ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่เข้าใจว่ากล้วยที่ปลูกจากหน่อโตเร็วกว่ากล้วยที่มาจาก การปั่นตา และถ้าสถานีวิจัยปากช่องขุดหน่อกล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 มาขาย คงจะไม่เพียงพอให้แก่เกษตรกรทั้งประเทศแน่นอน จึงต้องนำกล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 มาปั่นตา อาจารย์กัลยาณีก็ต้องเหนื่อยอีกรอบ โดยการทำแปลงทดลองระหว่างกล้วยที่ขุดหน่อมาปลูก กับกล้วยที่มาจากการเพาะเนื้อเยื่อว่าแบบไหนดีกว่ากัน โดยปลูกหน่อกล้วยสูง 1 เมตร กับกล้วยปั่นตาสูง 50 เซนติเมตร ปรากฏว่า ปลูกครบ 4 เดือน สูงเท่ากันเลย เพียงแต่ในช่วงแรกต้นกล้วยที่ได้จากการปั่นตาต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่ที่ ใกล้ชิด คือต้องมีการรดน้ำ ถากหญ้า ใส่ปุ๋ย พอต้นลอกคราบเปลี่ยนใบใหม่ต้นกล้วยก็จะเจริญเติบโตอย่างเร็ว ส่วนกล้วยหน่อหลังจากการปลูกแล้วจะแตกใบแรก แล้วต้นยังนิ่งอยู่ เพราะต้องรอสร้างรากก่อน เนื่องจากกล้วยที่ขุดหน่อมักจะไม่มีราก ใบใหม่จึงชะงักอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วจะไปโตทันกันเมื่อครบ 4 เดือน



เทคนิคการปลูกและการไว้หน่อ

การ ขุดหลุมปลูกกล้วยก็ต้องพิถีพิถัน ไม่ใช่การขุดรูฝังกล้วย แต่ต้องขุดเป็นหลุม 50 เซนติเมตร ทั้งกว้าง ยาว ลึก แล้วใส่ก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก รากของกล้วยหยั่งลึกอยู่ประมาณ 50 เซนติเมตร รากของกล้วยก็เหมือนคน พอมันรุดหน้าไปเจอดินแข็งๆ เพราะเราขุดหลุมนิดเดียวมันก็ถอยกลับแล้วไชขึ้นด้านบน โคนก็ลอย เมื่อเป็นกอใหญ่ๆ ก็ล้มลง แต่การขุดหลุมให้ใหญ่แล้วเอาปุ๋ยหมักลงดินด้านล่างจะซุยรากก็จะแทงลงดิน การขุดหลุมเป็นการลงทุนเพิ่มหรือเพิ่มเวลาทำก็จริง แต่ได้ประโยชน์มากเพราะกล้วยจะเป็นกอขนาดใหญ่ อยู่ได้ 5-6 ปี ถ้าขุดหลุมปลูกเล็กเมื่อกล้วยเป็นกอจะเจอปัญหาโคนลอยและล้มไปในที่สุด

อีก อย่างหนึ่งที่อาจารย์กัลยาณีแนะนำคือ การไว้หน่อของกล้วยน้ำว้า โดยปกติชาวบ้านจะไว้หน่อกล้วยทุกหน่อที่เกิดข้างต้นแม่ การมีหน่อมากๆ เหมือนแม่มีลูกมาก ก็จะแย่งอาหารกินกัน ทำให้ต้นและผลไม่สมบูรณ์ แต่อาจารย์แนะนำว่าปลูกกล้วยไปแล้ว 6 เดือน ถึงจะไว้หน่อได้ 1 หน่อ พอหน่อนี้อายุได้ 3 เดือน ก็จะไว้อีก 1 หน่อ นอกนั้นตัดทิ้งให้หมด เพราะฉะนั้นกล้วยแต่ละกอจะมีไม่เกิน 4 ต้น การดูแลตัดใบที่เสียออกก็เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้กอโปร่ง ถ้าในตอนกลางวันมีแสงลอดเข้าไปถึงโคนกอกล้วย ก็ถือว่าโปร่งเพียงพอ และการหมุนเวียนของอากาศก็จะดี เพราะกล้วยไม่มีหน่อหรือใบมากจนเกินไป แต่การตัดแต่งใบต้องระวังถ้าเหลือใบต่ำกว่า 7 ใบ ต้นจะไม่พอเลี้ยงลูก การปลูกกล้วยน้ำว้าดีกว่ากล้วยหอม หรือกล้วยไข่ เพราะสามารถทำเป็นกอได้ และการปลูกกล้วยไข่และกล้วยหอมไม่จำเป็นต้องขุดหลุมใหญ่ เพราะผลมันจะสมบูรณ์แค่ 2 รุ่น ก็จะต้องล้มต้นปลูกใหม่



โรคตายพราย

โรค ตายพราย เป็นโรคที่ต้องระวังมากในกล้วยน้ำว้า เพราะถ้าเป็นในแปลงเมื่อไหร่จะไม่สามารถปลูกกล้วยน้ำว้าได้อีกในระยะ 10-20 ปี เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังเรื่องหน่อพันธุ์ที่ซื้อมา ต้องไว้ใจได้ว่าไม่ได้ขุดหน่อมาจากแปลงที่มีปัญหาเรื่องโรคตายพราย สำหรับการปลูกเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือนหรือขายเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่จำเป็นนัก แต่ถ้าเป็นการปลูกเพื่อเป็นการค้าขนาดใหญ่การใช้ต้นกล้วยพันธุ์ที่ปั่นตาจะ ไม่มีปัญหาเหล่านี้ สนใจรายละเอียดมากกว่านี้ติดต่อได้ที่ สถานีวิจัยปากช่อง โทร. (044) 311-796 ในวันและเวลาราชการ

http://www.nicaonline.com/webboard/index.php?topic=22646.0;

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.

stat